
ชม ‘ไม้’ ในกาพย์เห่เรือเจ้าฟ้ากุ้งที่ยังรอด แต่ผืนป่าของชุมชนและชีวิตเดิมกำลังหาย
เรารับรู้เรื่อง ‘ป่าไม้’ กันอย่างหลากหลายทาง ทางแรกคือการได้ไปสัมผัสเอง ท่องเที่ยวด้วยตัวเอง เดินป่าบ้าง เดินสวนบ้างสำหรับคนเมือง และอีกทางหนึ่งคือผ่าน 2 ผัสสะหลักๆ คือ หู – ฟังจากเรื่องคนอื่นๆ ที่เขาเล่าต่อมาจากประสบการณ์ของเขาอีกที และ ตา – ดูผ่านโทรทัศน์ ซีรี่ส์ ยูทูปเบอร์สายท่องเที่ยว รวมถึงการอ่านอย่างไม่จำกัด ไม่ว่าจะอ่านนิยาย การ์ตูน กาพย์กลอนโคลงเห่ต่างๆ เราจะเจอภาพสีเขียวของทุ่งโล่งบ้าง ป่าดิบบ้างหลากหลายไปหมด ‘กาพย์เห่เรือ’ ก็ทำหน้าที่ส่งสารภาพของธรรมชาติและป่าไม้มาถึงเราได้เหมือนกันอย่างไม่ตกพร่องอะไรเลย
กาพย์เห่เรือ พระนิพนธ์ เจ้าฟ้าธรรมธิเบศร หรือเจ้าฟ้ากุ้ง วรรณกรรมประเภทหนึ่งที่แต่งเพื่อขับร้องประกอบการเห่เรือ แต่งมาตั้งแต่ช่วงสมัยอยุธยาตอนปลาย โดดเด่นตั้งแต่การแต่งใช้โคลงนำกาพย์ ภาษาสละสลวย คล้องจองและพรรณนาถึงความคิดถึงหญิงสาวคนรักด้วยการหยิบเอาสิ่งที่มองเห็นมาเปรียบเปรย แล้วคิดว่าในช่วงของการล่องเรือจากเมืองหลวงสู่สระบุรีจะไปเห็นอะไรได้มากนอกจาก นก ปลา และต้นไม้ กาพย์ชิ้นนี้จึงได้หยิบเอาทั้งสามอย่างมาเปรียบเทียบเข้ากับสตรีในวังยุคนั้น แต่เมื่อยุคสมัยเปลี่ยนไป เราก็ตั้งคำถามว่าต้นไม้และธรรมชาติเหล่านั้นจะยังงามเหมือนเดิมหรือไม่ (สาวๆ คงงามอยู่แหละ แต่ธรรมชาติก็ไม่แน่)
สำหรับ นก และปลา เราได้เขียนถึงไปแล้ว เหลือ ‘ต้นไม้’ ที่เราอยากพาทุกคนไปอ่านในรอบนี้ ในกาพย์นี้มีต้นไม้ทั้งหมด 18 ต้น ส่วนใหญ่ไม่ได้อยู่ในสถานะน่าเป็นห่วงขนาดนั้น มีเพียงไม่กี่ต้นเท่านั้นที่อยู่ในสถานะต้องกังวล แต่ถ้ามองภาพกว้างเราจะพบว่าประเทศไทยกำลังสูญเสียป่าไม้ไปเป็นจำนวนมากที่นอกจากทั้ง 18 ต้นนั้นอีก เราเลยอยากพาทุกคนไปมองภาพกว้างกว่านั้นถึงภาพผืนป่า และฟังก์ชันการทำงานของป่ากับมนุษย์ ทั้งในแง่ของกายภาพและจิตใจ ไปจนถึงเศรษฐกิจและการเมืองของรัฐ
เมื่อไรที่เรายกบางอย่างขึ้นมาเพื่อบอกว่าสิ่งนี้สำคัญ อาจแปลว่าสิ่งนั้นกำลังร่อยหรอลง หลักการคิดนี้สามารถปรับเข้ากับเรื่องของป่าไม้ในไทยก็ได้เช่นกัน ดาต้าสตอรี่ชิ้นนี้จะพาทุกคนย้อนกลับไปในอดีต ตั้งแต่ช่วงที่ป่าไม้ยังแน่นเต็มประเทศ จนถึงช่วงลดลงอย่างมาก และการอนุรักษ์ที่กำลังพยายามทำให้กลับมาอีกครั้ง
โน้ตก่อนขึ้นเรือ – กาพย์เห่เรือมีด้วยกันทั้งหมด 4 บท คือ ชมนก ชมปลา ชมไม้ และชมเรือ สำหรับบทชมเรือนั้นไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับธรรมชาติมากเท่าไร เราจึงขอจบมหกรรมแกะกาพย์เห่เจ้าฟ้ากุ้งไว้ที่บทชมไม้ชิ้นนี้เท่านั้น และสามารถย้อนกลับไปอ่านบทชมนก และบทชมปลาได้ที่นี่
#กาพย์เห่เรือ #เจ้าฟ้ากุ้ง #ต้นไม้ #ป่า #ดาต้าแฮทช #datahatch
ไม่ใช่แค่ต้นไม้ 3 ชนิดที่น่าเป็นห่วง แต่พื้นที่ป่าไม้ไทยลดลงเรื่อยๆ โดยเฉพาะภาคอีสาน และตะวันออก

ใน กาพย์เห่เรือ ของเจ้าฟ้ากุ้ง มีการพรรณนาถึงต้นไม้ถึง 18 ชนิดด้วยกัน คือ นางแย้ม จำปา ประยงค์ พุดจีบ พิกุล สุกรม สายหยุด พุทธชาติ บุนนาค เต็ง แต้ว แก้ว กาหลง มะลิวัลย์ จิก จวง ลำดวน และรำเพย ต้นไม้เหล่านี้ไม่ได้มีเพียงความงามตามบทกลอน แต่ยังสะท้อนภูมิทัศน์ทางธรรมชาติในยุคนั้นอีกด้วย
หากเทียบกับสถานะการอนุรักษ์ในปัจจุบัน จะพบว่าในบรรดาต้นไม้ทั้ง 18 ชนิด มีเพียง 3 ชนิดเท่านั้นที่มีสถานะน่าเป็นห่วง ได้แก่ “เต็ง” และ “ลำดวน” ซึ่งอยู่ในกลุ่มใกล้สูญพันธุ์ (Near Threatened) และ “บุนนาค” ที่อยู่ในกลุ่มเปราะบางต่อการสูญพันธุ์ (Vulnerable) ส่วนต้นไม้อื่นๆ อีก 15 ชนิดยังอยู่ในกลุ่มปลอดภัยหรือ Least Concern
แม้ดูผิวเผินจะเหมือนว่าส่วนใหญ่ยังรอด แต่ที่จริง การประเมินต้นไม้รายชนิดไม่อาจสะท้อนภาพรวมของธรรมชาติได้ทั้งหมด เพราะต้นไม้ไม่ได้อยู่โดดๆ แต่มีผืนป่าคอยโอบอุ้มอยู่เบื้องหลัง จากข้อมูลของระบบบัญชีทรัพยากรป่าไม้ กรมป่าไม้พบว่า พื้นที่ป่าไม้ของประเทศไทยลดลงอย่างต่อเนื่อง ในปี 2516 ประเทศไทยเคยมีพื้นที่ป่าถึง 138 ล้านไร่ หรือประมาณ 43% ของพื้นที่ประเทศ แต่พอถึงปี 2566 พื้นที่ป่าคงเหลือเพียง 101 ล้านไร่ คิดเป็น 31% เท่านั้น เรียกได้ว่าหายไปถึงเกือบ 10% ภายในเวลา 50 ปีเท่านั้นเอง
เมื่อเจาะลึกในระดับภูมิภาค (เฉพาะภาคที่มีข้อมูลครบ ได้แก่ เหนือ อีสาน กลาง ตะวันออก และใต้) จะพบความแตกต่างที่ชัดเจน ภาคเหนือเคยมีพื้นที่ป่ามากที่สุดราว 67% ของพื้นที่ และแม้จะเคยลดลงไปบ้าง แต่ก็สามารถฟื้นกลับมาได้ ปัจจุบันยังคงมีสัดส่วนป่าราว 63% เช่นเดียวกับภาคใต้ที่แม้จะลดลงเล็กน้อย แต่ยังคงรักษาสัดส่วนไว้ได้ราว 24% ใกล้เคียงกับเมื่อ 50 ปีก่อน แต่ในทางตรงกันข้าม ภาคอีสาน ภาคตะวันออก และภาคกลาง กลับน่าเป็นห่วงมากที่สุด โดยเฉพาะอีสานและตะวันออกที่สูญเสียพื้นที่ป่าไปกว่าครึ่งภายในช่วงเวลาเดียวกัน ส่วนภาคกลางก็หายไปประมาณ 10% ของพื้นที่ป่าทั้งหมด
ป่าในวรรณกรรม สะท้อนความอุดมสมบูรณ์และการเติบโต

ความสัมพันธ์ของป่ากับมนุษย์เป็นเรื่องน่าพิศวงที่เราอยู่กับมันมาตั้งแต่แต่แรกๆ ก่อนป่าจะย้ายไปเป็นพื้นหลังในฉากวรรณกรรม ป่าคือพื้นที่อยู่อาศัย แหล่งหากินของมนุษย์ยุคแรก จนเมื่อเมืองพัฒนาไกลเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เราเดินหน้าไปข้างหน้า และหลงลืมป่าไว้ข้างหลัง ย้ายมันไปเป็นเพียงแค่ฉากหลังในบทวรรณกรรมแทน
ตัวอย่างหนึ่งคือ ‘วรรณคดีวิจักษ์’ ของไทย มีงานศึกษาจากคณะมนุษย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม เรื่อง ‘ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ ในหนังสือเรียนวรรณคดีวิจักษ์’ พบว่าธรรมชาติทำหน้าที่หลายอย่างให้กับเรา การประพันธ์ประเภทวรรณคดีนิราศ วรรณกรรมที่มักแต่งระหว่างการเดินทางใช้เวลานาน นิราศมักจะพาผู้คนดื่มดำกับธรรมชาติ ผ่านการเล่าเร่องราวต่างๆ ถ่านยทอดภาพของธรรมชาติให้เห็นระหว่างการเดินทาง โดยกาพย์เห่เรือเจ้าฟ้ากุ้งก็อยู่ในข้อนี้ด้วยเหมือนกัน จากช่วงโคลงที่ว่า
‘ธารไหลใสสะอาด มัจฉาชาติดาษนานา
หวั่นว่ายกินไคลคลา ตามกันมาให้เห็นตัว’
สะท้อนว่า การเดินทางเพื่อไปสักการะพระพุทธบาทของเจ้าฟ้ากุ้งนี้ พาเราย้อนกลับไปเห็นความงามของธารน้ำ ต้นไม้หลากชนิด ฝูงปลาต่างๆ ในช่วงสมัยหนึ่ง
นอกจากนั้น ธรรมชาติในวรรณกรรมยังเปรียบเสมือนบทเรียนสั่งสอนเราได้อีก เช่น โคลงโลกนิติที่เรามักคุ้นกัน บทที่คุ้นๆ ก็เช่น
‘ก้านบัวบอกลึกตื้น ชลธาร
มารยาทส่อสันดาน ชาติเชื้อ
โฉดฉลาดเพราะคำขาน ควรทราบ
หย่อมหญ้าเหี่ยวแห้งเรื้อ บอกร้ายแสลงดิน’
นอกจากนี้ก็ยังมีกาพย์กลอนและโคลงอื่นๆ ของวรรณคดีวิจักษ์ที่ทำหน้าที่สะท้อนอีกหลายอย่าง ไม่ว่าจะวิถีชีวิตคนสมัยก่อน วัฒนธรรม ตลอดจนประเพณี และศาสนา ความเชื่อก็โผล่มาให้เห็นอยู่บ่อยครั้ง
ฟากตะวันตกมีงานวิจัยได้ศึกษา ความสัมพันธ์ HFR หรือ Human-Forest Relationships แนวคิดนี้แสดงถึงความสัมพันธ์ซึ่งกันและกันระหว่างมนุษย์และป่าไม้ ซึ่งเกิดขึ้นจากประสบการณ์ส่วนบุคคล ประวัติชีวิต ตลอดจนภูมิหลังทางวัฒนธรรมและสังคม สำหรับวรรณกรรมตะวันตกหลายชิ้น ป่าไว้เสมือน ‘พื้นที่ลี้ลับ’ เป็นทั้งพื้นที่ของความไม่รู้ และสับสนที่ช่วยให้คาแรคเตอร์เติบโตมากขึ้น เมื่อสามารถออกมาจากป่าได้ เช่น ‘หนูน้อยหมวกแดง’ ที่ต้องเดินทางจากบ้านสู่ป่า ป่าในเรื่องนี้เต็มไปด้วยอันตรายและการล่อลวงของหมาป่า หรืออีกเรื่องอย่าง The Chronicles of Narnia เปรียบเทียบป่ากับพื้นที่ที่ไม่ใช่โลกจริง พื้นที่แห่งความเป็นไปได้ เป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงของกลุ่มเด็กๆ
ฟังก์ชันของป่าในวรรณกรรมหรือบทประพันธ์ ไม่ใช่แค่ฉากหลังที่เข้ามาประกอบเรื่องเท่านั้น แต่ยังทำหน้าที่พาทั้งตัวละคร และคนอ่าน ได้พบเจอเรื่องราวใหม่ๆ เรียนรู้ ก้าวข้ามผ่านเรื่องราวต่างๆ ในขณะเดียวกัน ‘ป่า’ ในชีวิตจริง ก็เป็นเพียงแค่ฉากหลังของเราไปแล้วเหมือนกัน เพราะการใช้ชีวิตของคนเมืองในปัจจุบันที่ห่างไกลจากป่าเพิ่มขึ้น ทำให้ป่ากลายเป็นแค่ฉากหลังไกลๆ ที่เราไม่ได้หันกลับไปใส่ใจ
ป่ายังโดนคุกคามอย่างหนักจากการตัดไม้ โดยเฉพาะในเอเชีย และละตินอเมริกา

ความสำคัญของป่านอกเหนือจากการเป็นส่วนหนึ่งของวรรณคดีและการเรียนรู้ด้านชีวิต ในแง่วิทยาศาสตร์ ป่ามีความสำคัญเต็มๆ ในเรื่องของระบบนิเวศ ประโยชน์ของป่าต่อระบบนิเวศมีด้วยกันเยอะไปหมด ถึงกับมีคำว่ามีคำเปรียบเทียบเลยว่า อเมซอนคือปอดของโลก หรือบางกระเจ้าคือปอดของกรุงเทพฯ (แม้ว่าจริงๆจะตั้งอยู่ที่สมุทรปราการ)
ข้อมูลจาก Woodwell Climate Research Center บอกว่าป่าไม้ดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้เกือบ 16,000 ล้านตันต่อปี และในปัจจุบัน ป่าไม้ทั่วโลกกักเก็บคาร์บอนไว้ประมาณ 861 กิกะตัน ในส่วนต่างๆ ของต้นไม้ ไม่ว่าจะเป็นกิ่ง ใบ ราก หรือในดิน ป่าไม้เปรียบเสมือนแหล่งดูดซับคาร์บอนของโลกที่มีมูลค่าสูงและมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการแก้ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การศึกษาวิจัยคาดว่าป่าเขตร้อนเพียงอย่างเดียวมีส่วนรับผิดชอบในการกักเก็บอุณหภูมิในชั้นบรรยากาศไว้ได้มากกว่า 1 องศาเซลเซียส
แน่นอนว่าป่ายังเป็นบ้านของ 80% ของสัตว์บกทั่วโลก เป็นแหล่งดำรงชีวิตของผู้คนราว 1.6 พันล้านคนทั่วโลก รวมถึงประชากรดั้งเดิมกว่า 60 ล้านคนที่พึ่งพาป่า พวกกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับป่า เช่น การล่าสัตว์และการประมง เป็นแหล่งอาหารหลักกับบ้านเรือนในประเทศกำลังพัฒนา รวมถึงพวกผลิตผลจากป่าที่ไม่ใช่ไม้ เช่น ผลไม้ ผัก เห็ด ก็ด้วยเหมือนกัน ส่วนในกรณีที่มีป่าใกล้เมืองมากพอ ก็จะได้ประโยชน์ที่เราคนเมืองจะได้รับ คือ การช่วยด้านภัยพิบัติ น้ำท่วม ลดอากาศร้อน และดักจับฝุ่นควันมลพิษในเมืองได้
ป่าจึงมีฟังก์ชันเสมือนผู้ดูแลและรักษาสมดุลของโลก ให้ไม่มากเกิน และไม่น้อยเกินไป แต่เพราะมนุษย์เข้ามา ความสมดุลย์ก็เปลี่ยนไป เพราะในระหว่างปี 2010–2020 เราพบว่าโลกสูญเสียพื้นที่ป่าสุทธิเฉลี่ยปีละ 4.7 ล้านเฮกตาร์ โดยองค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) ประเมินว่า มีพื้นที่ป่าถูกตัดเฉลี่ยถึง 10 ล้านเฮกตาร์ต่อปี หรือเทียบเท่ากับประเทศโปรตุเกสทั้งประเทศทุกๆ สองปี มากกว่า 95% ของการสูญเสียนี้เกิดขึ้นในพื้นที่ป่าเขตร้อน อีก 59% อยู่ในละตินอเมริกา และอีก 28% อยู่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งเป็นภูมิภาคที่เต็มไปด้วยความหลากหลายทางชีวภาพสูงสุดของโลก
แรกตั้ง ‘กรมป่าไม้’ เพื่อตัดไม้ และมองป่าไม้ในฐานะทรัพย์สินของรัฐ

สำหรับความสมดุลของป่าไม้ไทยเองก็เปลี่ยนไปพร้อมกับการเติบโตของเมือง อุตสาหกรรมไม้ และการเริ่มต้นของของ ‘กรมป่าไม้’
จุดเริ่มต้นของกรมป่าไม้ไทย ไม่ได้ตั้งขึ้นเพื่ออนุรักษ์ แต่ตั้งมาเพื่อเราสามารถตัดไม้ได้อย่างถูกกฎหมาย โดยเฉพาะไม้สักที่เป็นที่ต้องการของตลาดโลก รวมถึงไม้อื่นๆ ไม่ใช่ไม้สัก เรียกว่าไม้กระยาเลย เช่น เต็ง รัง พะยอม แดง ประดู่ นนทรี โดยตั้งแต่ช่วงปลายสมัยรัชกาลที่ 5 อังกฤษมีบทบาทสูงในราชสำนัก เข้ามาขอสัมปทานไม้สัก เพราะชื่อเสียงด้านความแข็งแรงและทนทาน ทำให้มีหลายประเทศเข้ามาแย่งเค้กก้อนนี้ โดยอังกฤษงได้ส่วนแบ่งใหญ่สุด
ถ้าเทียบกับทั้งหมดพบว่าป่าในจังหวัดของภาคเหนือถูกตัดมากที่สุด กระทั่งรัฐต้องเข้ามาควบคุมและจัดตั้งกรมป่าไม้เมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 2439 พร้อมแต่งตั้ง Mr. H. Slade ชาวอังกฤษ เป็นเจ้ากรมคนแรก การตัดไม้เกิดขึ้นเรื่อยๆ อย่างต่อเนื่อง ช่วงปี 2455 ไทยยังได้มีการรัฐบาลเริ่มทําไม้สักเองเป็นครั้งแรกที่ป่าแม่แฮด จังหวัดแพร่ ด้วยซ้ำ จนถึงปี 2498 ไทยถึงได้ยกเลิกการให้สัมปทานไม้กับต่างชาติทั้งหมด ไปจนถึงปี 2532 มีการประกาศแบนการตัดไม้ถาวร แต่ป่าไทยก็ลดลงไปมากแล้วทั้งจากการทำปางไม้ การสร้างเขื่อน และสัมปทานในอดีต
การหายไปของป่า ไม่ได้หมายถึงแค่ต้นไม้ที่ถูกตัด แต่รวมถึงผู้คนและชุมชนที่เคยอาศัยอยู่กับป่าด้วย เพราะนับตั้งแต่รัฐเข้ามาจัดการทรัพยากร มุมมองต่อป่าก็เปลี่ยนไป จากพื้นที่ชีวิตของคนในชนบท กลายเป็น ‘ทรัพย์สินของรัฐ’ ที่ห้ามครอบครอง ตั้งแต่ในช่วงปี 2532 ก็เริ่มมีการจัดตั้งหมู่บ้านป่าไม้ อพยพราษฎรออกจากพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ อุทยานแห่งชาติและเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า ถัดมาจึงเริ่มมาสู่ แนวคิด ‘ป่าปลอดคน’ ขึ้นมา โดยภาครัฐตั้งเป้าให้ประเทศต้องมีพื้นที่ป่าไม่ต่ำกว่า 40% ของผืนแผ่นดิน และมีกฎหมายระบุว่าผู้ที่อาศัยในป่าก่อนปี 2541 จะไม่ถือว่าบุกรุก แต่ในความเป็นจริง หากหลักฐานของชาวบ้านมีไม่มากพอจะพิสูจน์ตัวตนว่าพวกเขาอยู่กันมาโดยตลอด ก็ผลักให้ผู้อาศัยเดิมกลายเป็นผู้บุกรุกไปอย่างเลี่ยงไม่ได้
ความน่าสนใจ คือ แนวคิด ‘ป่าปลอดคน’ มักปรากฏขึ้นทุกครั้งที่อำนาจรัฐรวมศูนย์ โดยเฉพาะในยุคที่กองทัพเรืองอำนาจหลังรัฐประหารปี 2557 รัฐบาล คสช. ออกคำสั่งที่ 64/2557 หรือ “นโยบายทวงคืนผืนป่า” ซึ่งกลายเป็นหนึ่งในนโยบายแรกๆ ที่ถูกนำมาใช้จริง ผลลัพธ์คือมีชาวบ้านจำนวนมากถูกผลักออกจากพื้นที่ทำกิน และเกิดคดีความจากนโยบายนี้มากกว่า 46,000 คดีทั่วประเทศ ในสายตาของรัฐ ป่าคือทรัพยากรทางเศรษฐกิจ และเป็นกลไกขับเคลื่อนความก้าวหน้า
แต่สำหรับชาวบ้าน ป่าคือบ้าน คือชีวิต คือรากเหง้าที่พวกเขาฝังตัวอยู่มานานก่อนจะมีกฎหมายใดๆ เกิดขึ้นเสียอีก
ชุมชนพื้นเมืองในอะเมซอนดูแลป่าอย่างยั่งยืนได้ เพราะจัดการร่วมกัน ต่างจากการบุกรุก ตัดไม้ และใช้เชิงพาณิชย์

เมื่อรัฐอยากจะเข้ามาควบคุมใน ‘ป่า’ เป็นทรัพยากรของรัฐเท่านั้น ชุมชนเดิมจึงต้องถูกขับไล่ออกไป แต่มันไม่ควรเป็นแบบนั้น รายงานเรื่อง Indigenous knowledge and the shackles of wilderness บอกว่า แนวคิดเรื่อง “pristine wilderness” หรือ ธรรมชาติอันบริสุทธิ์ไร้ผู้คน ไม่เป็นความจริงทางนิเวศวิทยา เป็นเพียงมุมมองจากฝั่งยุโรปที่เกิดขึ้นในยุค Enlightenment ช่วงศตวรรธที่ 19-20 เป็นแนวคิดที่ว่าธรรมชาติที่สมบูรณ์จะต้องไม่มีมนุษย์เข้าไปข้องเกี่ยว ความคิดนี้กลายเป็นรากฐานของนโยบายอนุรักษ์ในหลายประเทศ เช่น การตั้งอุทยานแห่งชาติที่กันคนออกจากป่า เพราะมองว่ามนุษย์เป็นภัยคุกคามต่อระบบนิเวศ
แต่ในความเป็นจริง ป่าในพื้นที่ที่มีความหลากหลายทางชีวภาพสูงสุดของโลก ไม่ว่าจะเป็นอเมซอน แอฟริกา หรือเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ต่างมีประวัติการอยู่อาศัยและการใช้ประโยชน์จากคนท้องถิ่นมายาวนานนับพันๆ ปี กลุ่มคนและชุมชนเหล่านี้มีวิธีจัดการพื้นที่อย่างยั่งยืนมาตั้งแต่แรก ไม่ว่าจะการทำเกษตรแบบหมุนเวียน การเก็บของป่า หรือการใช้ไฟ จากกราฟคือข้อมูลจากหนังสือรเื่อง Forest governance by indigenous and tribal peoples เปรียบเทียบให้ดูว่าพื้นที่ป่าอเมซอนที่มีกลุ่มคนชาติพันธุ์อาศัยอยู่นั้นมีโอกาสในการตัดไม้ทำลายป่าน้อยกว่าพื้นที่อื่นๆ รวมถึงสร้างก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์น้อยกว่าที่ 23.6 ล้านเมตริกตัน ในขณะที่พื้นที่ที่ไม่มีกลุ่มคนชาติพันธุ์อาศัยอยู่มีการปล่อยก๊าซออกมาถึง 96.4 ล้านเมตริกตัน ส่วนพื้นที่เชิงพาณิชย์มีมากสุดถึง 1,159.6 ล้านเมตริกตัน เพราะกลุ่มคนเหล่านี้มีความรู้ดั้งเดิมเกี่ยวกับพืชพรรณ และสัตว์ป่า ทั้งในแง่ประโยชน์และอันตราย จึงสามารถปรับตัวเพื่อเป็นส่วนหนึ่งกับพื้นที่ได้มากกว่า
การผลักดันชุมชนออกจากป่าตามแนวป่าปลอดคน จึงไม่เพียงผิดพลาดในเชิงแนวคิด แต่ยังส่งผลลบต่อสิ่งแวดล้อมในหลายกรณี ตัวอย่างเช่น ไฟป่าที่ลุกลามรุนแรงขึ้นในออสเตรเลียหลังการขับไล่ชาวอะบอริจิน เพราะคนพื้นเมืองเดิมเคยจัดการพื้นที่ด้วยภูมิปัญญาท้องถิ่นมาช้านานแต่ต้องเปลี่ยนแปลงไป ส่วนของไทยก็มีหนึ่งในชุมชนที่ทำให้เห็นแล้วว่าคนและป่าแยกจากกันไม่ได้ คือ ‘ชุมชมช้างดอยป่าแป๋’ ชุมชมชาวปาเกาะญาอาศัยในพื้นที่มานานกว่าร้อยปี หาหลักฐานและดาต้ามาพิสูจน์ว่าพื้นที่ชุมชนเดิมนั้นอยู่มาแต่ก่อนจะเกิดนโยบายป่าปลอดคน ด้วยการพิสูจน์จากเอกสารใบรัชชูปการ หรือเอกสารใบเสียภาษี ตั้งแต่ช่วงสมัยรัชกาลที่ 6 เพื่อเป็นการบอกว่าพวกเขาอยู่ที่นี่ และอยู่มาตั้งแต่แรกในฐานะคนไทย อีกทั้งยังมีดาต้าที่บอกได้อีกว่า การทำไร่เลื่อนลอยของกลุ่มชาวบ้าน ไม่ใช่การทำลายป่าตามที่รัฐว่า
ที่หลังๆ กลายมาเป็นหนึ่งในตัวการร้ายที่ทำให้โลกร้อนทั้งที่จริงๆ แล้วเป็นแนวคิดที่เกิดขึ้นมานานแล้วของกลุ่มคนอาศัยในป่า อีกทั้งวิถีชีวิตเหล่านี้ยังช่วยฟื้นฟูและรักษาความอุดมสมบูรณ์ของระบบนิเวศอีกด้วย
ออกแบบป่าให้ใกล้เมือง คนต้องเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ

เมื่อเรารู้แล้วว่าป่ามีประโยชน์ ทั้งกับเราและระบบนิเวศ ทั้งยังไม่ควรแยกป่าออกจากคนอีก จึงมีคนบางกลุ่มที่คิดถึงออกแบบเมือง หรือนโยบาย โดยให้ป่าและธรรมชาติเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการจัดการ เรียกว่า แนวคิด Nature-Based Solutions (NBS) เพื่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศที่แปรปรวน ความแตกต่างของแนวคิดนี้กับการอนุรักษ์ คือเราอนุรักษ์เพื่อให้อยู่ตามเดิมโดยที่เราไม่ได้เข้าไปเปลี่ยนแปลง แต่เปลี่ยนแปลงบางอย่างที่ทำให้ป่าและระบบนิเวศมีสุขภาพดีขึ้น และจะส่งผลมาเสิร์ฟสิ่งดีๆ ให้กับเราด้วยเหมือนกัน เหมือนการกลับไปให้ค่ากับสิ่งที่เราลืมไป
โปรเจ็กต์ Metropolitan Forest จากเมืองมาดริดก็ใช้หลังกการนี้เช่นกัน เมืองเพิ่มพื้นที่วงแหวนสีเขียวยาว 75 กิโลเมตร ล้อมรอบตัวเมือง ครอบคลุมพื้นที่กว่า 2,300 แฮกเตอร์ของเมือง เพื่อเพิ่มธรรมชาติเข้าไปให้ช่วยลดทั้งมลพิษทางอากาศ และความร้อนที่เกาะอยู่ในพื้นที่เมือง พร้อมทั้งยังเป็นการเชื่อมโยงผู้คนให้รู้สึกถึงการเป็นส่วนหนึ่งของระบบนิเวศธรรมชาติให้มากขึ้นกว่าเดิมอีกด้วย การออกแบบด้วยวิธีคิดแบบนี้ทำให้เราพอเห็นภาพ ‘ธรรมชาติ’ เป็นส่วนหนึ่งของความจำเป็นในชีวิตเรา ไม่ใช่สิ่งไกลตัวตามที่เคยเข้าใจ
นอกจากนี้แล้ว ป่าคือโรงเรียนที่เก่าแก่ที่สุดเท่าที่มนุษย์เคยมีมา การเรียนรู้ของคนกับป่าเกิดขึ้นมาอย่างยาวนาน แนวคิดหนึ่งที่น่าสนใจคือระบบโรงเรียนในป่า หรือ Forest School ของประเทศเยอรมนี โดยแนวคิดนี้คือการพาเด็กๆ วัยจิ๋ว 3-6 ขวบ เข้าไปเรียนรู้เรื่องราวในป่า ได้ลองวิ่งเล่น ผจญภัย จะล้มบ้างคลานบ้างก็ไม่เป็นไร เพื่อเป็นการพัฒนาทั้งร่างกายและจิตใจ โรงเรียนแบบนี้ก็ทำให้เด็กได้ใกล้ชิดธรรมชาติไม่น้อย ธรรมชาติจึงได้ทำหน้าที่เป็น ‘ครู’ ให้กับเด็กๆ เหล่านี้ด้วย
เพราะการใช้ชีวิตในเมืองทำให้เราห่างจากต้นทางของทุกสิ่ง เราไม่รู้ว่าน้ำที่ดื่มมาจากไหน อากาศที่หายใจเชื่อมโยงกับอะไร หรืออาหารที่กินเกี่ยวข้องกับระบบนิเวศอย่างไร ความเป็นเมืองอาจค่อยๆ ลบเลือนความสัมพันธ์ระหว่างเรากับธรรมชาติไปทีละน้อย โดยไม่ทันรู้ตัว บางทีถึงเวลาที่เราต้องมองป่าให้ลึกกว่าคำว่า ‘ทรัพยากร’ และไกลกว่าขอบเขตของการอนุรักษ์ เพราะป่าไม่ใช่แค่ของใครคนใดคนหนึ่ง และไม่ควรเป็นสิ่งที่มีไว้เพียงเพื่อดูแล แต่คือส่วนหนึ่งของชีวิตเรา ที่สามารถเยียวยาเรา สอนเรา และอยู่ร่วมกับเราได้มากกว่าที่เราเคยคิด
ขอบคุณ นายชนชนม์ ชูเชื้อ นิสิตภาควิชาพฤกษศาสตร์ จุฬาฯ สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม
อ้างอิง
Sudbonid, A. and Untaya, S. (2020) The Relationship between Humans and Nature in Wannakadee Wijak Textbook [Preprint].
https://www.nature.com/articles/s43247-024-01678-z
https://www.shiftcities.org/post/how-forests-near-and-far-benefit-people-cities
https://waymagazine.org/national-forest-conservation-day-2022
https://www.silpa-mag.com/history/article_51410
https://www.fao.org/4/AB576E/AB576E21.htm
https://www.wrm.org.uy/bulletin-articles/forest-colonialism-in-thailand
https://ourworldindata.org/deforestation
https://www.seub.or.th/wild-status-2020-2021
https://data.forest.go.th/dataset/https-www-forest-go-th-land